วันศุกร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ได้งานแล้วค่า ยิปปี้ๆ


ในวันจันทร์ที่แสนวุ่นวาย ช่วงบ่ายสาม วันที่ 21/02/54 อยากจะจารึกไว้หน้าประวัติศาสตร์
ว่า "กุได้งานแย้วววววววววววว" ว๊ากกกกกกกกกกก กรี๊ดดดดดดดดดดดด

หลังจากที่ไปสัมภาษอาปิโก้มา นอกจากบริษัทจะเงียบเฉยแล้วหายไปแบบนิ่งๆ 2 อาทิตย์
คิดในใจว่า เออ คงไม่ได้แล้วแหละ ช่างมัน แล้วก็ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย ไม่ยอมไปสัมภาษณ์ที่อื่้นอีกเลย

จากนั้นบริษัทก็โทรมา ไอ้เราก็คิดในใจว่า ถ้านัดสัมภาษณ์รอบ 3 ไม่ไปแล้วนะ จะปฏิเสธเค้าไปเลย
ปรากฎว่า "น้องค่ะ น้องสอบสัมภาษณ์ผ่านนะคะ เริ่มงานได้เมื่อไหร่คะ" กรี๊ดดดดดดดดดดดดด
ไม่น่าเชือเลยแฮะ เกรดที่แสนน้อยนิด และความสามารถที่ไม่มีเลย T^T มีคนเห็นคุณค่าเราแล้ว

รีบโทรไปบอกแม่ทันที แม่ก็ดีใจโฮกฮาก ดีใจจังเลย ถึงเค้าจะรับเราเพราะรีเควสเงินเดือน
ไปน้อยก็เถอะ แต่มันก็อดโฮกไม่ได้แฮะ :) สัญญากับตัวเองไว้ว่า ถ้าทำงานเก็บเงินได้ก้อนนึงเมื่อไหร่
จะซื้อนาฬิกา TAG Heuer ให้แม่เรือนนึง อิอิ พาป๊าไปกินเสี่ยวหลงเปาด้วย แอร๊ยๆๆๆ >.< เพ้อว่ะ

ปัญหาตอนนี้ที่ประสบคือ บริษัทไกลมาก ค่าเดินทางแพงมาก ใช้เวลานาน ไม่คุ้มเลย ไหนจะ ค่าที่พัก ค่าเดินทาง ค่ากิน ขับรถก็ไม่เป็น ตอนนี้เลยต้องมาหางานใหม่ไปพลาง แต่ก็ไม่ได้ซักที กะว่าถ้าหาไม่ได้ ก็ต้องทำบริษัทนี้แหละ แล้วหาทางแก้ปัญหาเอาในอนาคต

สู้ๆต่อไปนะคาวาริ นี่มันแค่จุดเริ่มต้นของชีวิตเท่านั้น!! ฮึบๆๆ


วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

สัมภาษณ์ AAPICO Hitech รอบ 2

ครั้งนี้ต้องเดินทางไปสัมภาษณ์ถึงที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค ที่อยุธยา ขอบอกว่าไกลมาก
เพราะต้องเดินทางจากสถาบันถึงนู่น ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงเห็นจะได้
โฮกกกกก แล้วแดดก็ร้อนมากถึงมากที่สุด ที่นิคมนี่มองไปยังไม่เห็นต้นไม้ซักต้น มีแต่พิ้นปูนและแดดเท่านั้น
อ่อ มีสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคน อยู่ในซอกหลืบของแต่ละโรงงานด้วย เฮ้ออ(ปาดเหงื่อ)
ใครที่จะมาทำงานที่นี่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่า คุณต้องมีรถส่วนตัวเพื่อความสะดวกสบาย
เพราะในนิคมนี้ ไม่มีร้านข้าว ไม่มีหอพัก ไม่ใช่ย่านที่พักอาศัย มันคือนิคมที่ไม่มีอะไรเลย
นอกจากโรงงาน โรงงาน แล้วก็โรงงาน คุณต้องขึ้นพี่วินเข้าไปข้างใน และคุณต้องขอเบอร์
พี่วินคนนั้นไว้ด้วย เพราะขากลับ แน่นอนว่าไม่มีพี่วินนั่งเก๊กรอคุณหน้าโรงงานแน่นอน
อาจเป็นครั้งแรกที่คุณต้องขอเบอร์ผู้ชายโดยไม่มีอาการเขินอายเกิดขึ้นเลยแม้แต่น้อย
และจะเป็นอันตรายอย่างมาก หากต้องทำ OT ถึงมืดค่ำ เพราะฉะนั้น มีรถเถอะ ขอร้องเลย


ครั้งที่ 2 นี้คุณจะต้องทำแบบทดสอบ IQ, EQ และพื้นฐานภาษาอังกฤษด้วย(เป็น choice)
อันนี้ก็ชิวๆ ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด แต่ประเด็นที่น่ากลัวคือการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ
เมื่อเข้าไปเผชิญหน้าแล้ว วันนี้เราพบกับคนสัมภาษณ์ซึ่งเค้าเป็นใครก็ไม่รู้ หน้าแบบคนไทยมากๆ
แต่น่าจะเป็นมาเลเซียมั้ง เค้าพูดอิ้งแบบไวมากกกกกก แล้วงึมงำอยู่ในคอ พูดเบาๆ พูดรัวๆ
เหมือนพวกแขกเลยง่ะ ฟังไม่รู้เรื่องเลย โชคดีมีพี่ไทยคนนึงช่วยทำหน้าที่เป็นล่ามแปลให้


ครั้งที่แล้ว เราเจอกับคนเยอรมัน(ซึ่งหน้าก็เหมือนคนไทยอีกนั่นแหละ) สำเนียงเค้าฟังรู้เรื่องกว่าอ่ะ
แล้วเหมือนจูนกันติดคือ เราพยายามพูดเพื่อที่จะให้เค้าเข้าใจเรา เค้าก็พยายามที่จะให้เราเข้าใจเค้า
แล้วคนนี้เค้าดีมากเลย พยายามให้กำลังใจตลอด มีอยู่ประโยคนึงที่เราพูดไม่ออก
นึกศัพท์ไม่ได้เลย มะรู้จะพูดยังไงดี เค้าก็เชียร์อัพเราตลอดว่า เนี่ย คุณต้องทำได้
คุณพูดได้ดีมาก เพียงแต่คุณไม่กล้า ทำให้เรารู้สึกดีในการสัมภาษณ์ครั้งแรกจริงๆ


นอกเรื่องและ มาต่อที่การสัมภาษณ์ครั้งที่ 2 ประเด็นที่เค้าถามเรามีดังนี้
1.โชว์ผลงานที่เรามีให้ดู
มีอะไรก็โชว์ไปให้หมดเลยคับพี่น้อง ไม่มีตัวโปรแกรมก็โชว์อินเตอร์เฟซเฉยๆก็ได้ เราก็โชว์ให้เค้าดูนะ
แต่เหมือนเค้าไม่ค่อยมีความกระตือรือล้นที่จะดูซักเท่าไหร่ เราก็เลยไม่ได้อธิบายตัวโปรแกรมให้เค้าฟัง
อันที่จริงเราก็เตรียมมาหมดแล้วแหละที่จะอธิบายว่าโปรแกรมทำงานอย่างไร คลิกอันนี้แล้วเกิดไรขึ้น
แต่วันนั้นมันเฟลยังไงไม่รู้ คือ เดินทางมาเหนื่อยมาก แล้วเค้ายังถามอีกว่า 12,000 นี่ลดได้อีกมั้ย -*-

2.คุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทนี้บ้าง
ก็ตอบๆเท่าที่เรารู้ไป นิดนึงก็ยังดีกว่าไม่รู้เลยน๊า เพราะงั้นควรศึกษาไว้บ้างก่อนไปสัมภาษณ์ล่ะ

3.ถามเรื่องที่เราถนัด
ถามอีกแล้วว่า จะมีการวางแผนที่จะสร้างเวบอย่างไร ก็อธิบายๆไป

4.ถามเจาะลึกลงไปเกี่ยวกับผลงานที่เราแสดง
ประมาณว่าออนไลน์ได้มั้ย ติดต่อกับ paypal ได้ป่าว ใช้อะไรสร้าง โปรเจ็คเสร็จรึยัง บลาๆๆๆ

5.ถามเรื่องเริ่มงาน
เริ่มงานได้เมื่อไหร่ ถ้าให้เปลี่ยนหน้าที่ไปทำโปรแกรมเมอร์จะโอเคมั้ย บลาๆๆๆ

6. มีคำถามอะไรมั้ย
ข้อนี้ขอบอกเลยว่าคุณต้องถามนะ เพื่อแสดงให้เค้าเห็นว่าเราสนใจในบริษัทเค้า สนใจที่จะทำงานกับเค้า
แสดงความกระตือรือล้นออกมา เราก็ถามไปว่า คิดจะขยายสาขาเพิ่มมั้ย? แล้วมีการแบ่งงานให้แต่ละสาขายังไงบ้าง??

7. จิปาถะ
คุยกันเรื่องทั่วๆไป เค้าถามว่าเดินทางมาถึงนี่ได้ไง ก็บอกว่ารถตู้ แล้วแบบไกลมาก ใช้เวลา 2 ชั่วโมง
(แต่ที่จริงล่อไป 3 ชั่วโมง) คำนวณเวลาผิดไป 555 ถามว่าส่วนใหญ่นี่มีลาดกระบังเยอะใช่มั้ย
บลาๆๆๆๆๆ สัพเพเหระ ทั่วไป


ครั้งนี้เราพูดอิ้งบ้าง ไทยบ้าง เพราะฟังอิ้งไม่รู้เรื่องจริงๆ อาการหนักมาก ไอ้ที่เตรียมท่องไว้
ไม่ได้เอามาใช้เล้ยยยย ให้พี่ไทยช่วยแปล แล้วก็พูดเป็นอิ้งกลับไป คิดว่าเคยคุยกับฝรั่งแล้ว
ฟังรู้เรื่องกว่านะ เพราะฝรั่งเค้าจะพูดช้า เน้นคำ ให้เราเข้าใจ


หลังจากสัมภาษณ์ครั้งนี้แล้ว
มันทำให้เราได้ความมั่นใจกลับมามากขึ้น จากที่คิดว่าจะหางานทำไม่ได้แน่ๆ ก็คิดใหม่ว่า
ได้งานทำแน่ๆ แต่อาจจะช้าหน่อยเท่านั้นเอง แต่ถ้าเราไม่เลือกงาน ก็คงได้งานเร็ว
แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ตกงานแน่นอน จากที่วางแผนตอนแรกคือ ได้งานปุ๊บ จะเอาปั๊บเลย
เพราะกลัวตัวเองจะตกงานอยู่คนเดียวในขณะที่เพื่อนๆเค้าได้งานกันหมดแล้ว
ก็เปลี่ยนความคิดนั้นใหม่ว่า เลือกงานที่เราอยากจะทำจริงๆดีกว่า ให้เราไปทำอะไรที่ไม่ถนัด
มันก็ทรมานกาย ทรมานใจ ไม่มีคว่ามสุข และผลสุดท้ายเราก็ต้องหางานใหม่ทำอยู่ดี


ถึงผลสัมภาษณ์ครั้งนี้จะผ่านหรือไม่ผ่านก็ตาม แต่มันทำให้เราได้อะไรกลับมาเยอะมากเลย
และเราคงไม่เลือกงานนี้เพราะ มาคิดๆดูมันไม่คุ้มกับค่าที่พัก ค่าเดินทางเลย เดือนนึงไม่เหลือเงินให้เก็บ
ซึ่งมันก็ให้อารมณ์แบบหาเช้ากินค่ำนั่นแหละ แถมต้องให้แม่ออกรถให้อีก ขับก็ยังไม่เป็น
อนาคตการสัมภาษณ์และสอบข้อเขียนจะเป็นอย่างไรต่อไปนั้น คงต้องให้ฟ้าดินลิขิตแล้วล่ะ


Fighting !!!

สัมภาษณ์ AAPICO Hitech รอบ 1

(สัมภาษณ์ 3 รอบ)
เนื่องจากมีงาน Job Fair ที่สถาบัน และทีบริษัทนี้ได้เข้าร่วมด้วย เราก็ไม่รอช้า
รีบแจกใบปลิว(resume+transcript)ทันที และผลที่ได้คือ เข้าสัมภาษณ์ได้เลย
โอ๊วววว แต่ไม่ใช่อย่างที่คุณคิด มันคือการสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษล้วนๆกับผู้บริหารระดับสูง
ก็แบบว่า อืมมม...งั้นไม่เป็นไรค่ะ เด๋วหนูมาสัมภาษณ์ใหม่ ขอเวลาไปทำใจก่อน
ผู้หญิงที่เป็นคนไทยก็ตอบกลับมาว่า "ได้ค่ะ เดี๋ยวโทรเรียกใหม่นะคะ "
ไอ้เราก็ เย้ๆ! กรูรอดแล้ว เดี๋ยวเดือนหน้าเค้าคงเรียกไปสัมภาษณ์ใหม่
ยังมีเวลาเตรียมตัวมากมาย เฮ้อออ โล่งอกไปที ปรากฎว่าไม่ใช่อย่างที่คิดครับพี่น้อง
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นเค้าก็โทรมาว่า "น้องคะ มาสัมภาษณ์ได้เลยค่ะ ผู้บริหารว่างแล้วค่ะ"
สภาพตอนนั้นไร้จิตวิญญาณมากมาย แต่ก็เดินไปสัมภาษณ์ซะงั้นน่ะ

-ช่วงเวลาในการสัมภาษณ์-

ผู้สัมภาษณ์ - พูดภาษาอังกฤษได้มั้ย?? (in thai lang)
เรา - พอได้ค่ะ
ผู้สัมภาษณ์ - ถนัดอะไรมากที่สุด (in eng)
เรา - ถนัดเวบโปรแกรมมิ่งค่ะ แล้วก็ชอบวิชาอังกฤษมากที่สุด จะเห็นได้จากทรานสคิปค่ะว่าลงวิชาอังกฤษไปเยอะมาก (in eng)
ผู้สัมภาษณ์ - อยากทำงานทางด้านไหน (in eng)
เรา - ทางด้านเวบค่ะ ตอนนี้ก็สนใจพวก tester ด้วยค่ะ เป็นการเทสโปรแกรมว่ามีข้อผิดพลาด (in eng)
หรือมีพวกบั๊กอะไรหรือเปล่า

โอย เยอะ ขี้เกียจพิมซะงั้นน่ะ เอาเป็นว่าคำถามที่พบจากบริษัทนี้คือ
1. ความถนัดของตัวเรา
ถึงแม้จะไม่ตรงกับสายงานที่บริษัทต้องการแต่เค้าก็รับไว้พิจารณา โดยอาจให้เราทำตามที่เราถนัด
ช่วงแรกๆ พองานมันนิ่งแล้ว ก็จะย้ายเราไปทำงานทางด้านที่เค้าขาดแคลน เช่น เราถนัดเวบ
แต่พอสร้างเวบเสร็จแล้ว งานนิ่งแล้ว ก็ย้ายเราไปสายโปรแกรมเมอร์นั่นเอง

2.จะวางแผนการทำเวบอย่างไร
เค้าจะถามว่า เนี่ยย หากเราต้องสร้างเวบขึ้นมาเองคนเดียวจะทำอย่างไร สามารถทำได้มั้ย
จะโปรโมตเวบตัวเองอย่างไรให้คนรู้จัก บลาๆๆๆๆ

3. สามารถทำงานที่ไหนได้บ้าง
บ้านอยู่ที่ไหน ถ้าบริษัทอยู่ไกลมาทำได้รึเปล่า เพราะบริษัทนี้มี 4 ที่คือที่ยุดยา ระยอง ชล และสมุทรปราการ
ถ้าเราตอบว่าได้ แล้วเค้าจะถามต่อว่า จะเดินทางมาทำงานที่บริษัทอย่างไร จะพักที่ไหน

4.จุดแข็งของเรา
อันนี้จุดตายว่าทุกที่ต้องถามแน่ๆ เค้าจะถามว่า hard working ได้มั้ย?? responsibly ได้มั้ย บลาๆๆ

5. expected salary
ขอบอกไว้ก่อนว่า ควรเรียกเยอะไว้ก่อน เพราะท้ายสุดแล้ว เค้าก็จะต่อราคาเราลงมาอยู่ดี
ไอ้เราก็ไม่รู้เรื่อง ดันเขียนไป12,000 โหยยยยยยยยยย ดวกเลยคับ ไม่น่าเลยกรู
เพิ่งรู้ว่าเพื่อนๆเค้าเขียนกันไป 16,000 up กันทั้งน้านนนนนนนนนนนนนน

และแล้วก็ผ่านสัมภาษณ์รอบแรกมาได้แบบมั่วๆ มึนๆ งงๆ สัมภาษณ์รอบต่อไป
ต้องไปที่นิคมอุตสาหกรรมไฮเทค ที่ยุดยา นู่นแน่ะ เฮ้อออออ

แนะนำบล็อกเล็กๆน้อยๆ

เป็นนักศึกษาจบใหม่ ไร้ประสบการณ์ แถมเกรดเฉลี่ยที่จบออกมาก็ ..... -*-
เรียกได้ว่าน้อยมากถึงมากที่สุด ความรู้ที่ได้จากการเรียนก็แทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ
เนื่องมาจาก เลือกเรียนสาขานี้เพราะคะแนนมันสูงสุดในคณะวิทยาศาสตร์
ตอนนั้นคะแนนต่ำสุดจากแอดมิสชั่นอยู่ที่ประมาณ 5600 ไอ้ตัวเราที่มีคะแนนอยู่ 6200
จะไปเลือกสาขาที่คะแนนน้อยกว่านี้ก็เสียดายคะแนน เลยตัดสินใจเลือกเรียน
สาขาวิทยาการคอมพิวเตอร์ซะเลยนั่นเอง ไปๆมาๆ อ้าว ไหงสาขาเคมีอุตสาหกรรมแซงหน้าไปเล่า
สิ่งที่มีดีอยู่หน่อยก็แค่ เป็นมหาวิทยาลัย TOP5 พูดก็พูดเถอะ เกรดได้แค่ 2.50 เอง T^T


หลายๆอย่างไม่แน่นอน ขนาดคะแนนแอดมิสชั่นของแต่ละสาขายังมีเปลี่ยนแปลงกันได้
ชีวิตของผู้หญิงอันน่าบัดซบก็เปลี่ยนแปลงได้เช่นกัน นั่นคือการติดโปร เนื่องมาจาก
พอได้มาเรียนสาขานี้แล้วเกิดไม่ชอบขึ้นมา จะซิ่วก็ไม่ทันแล้วเพราะอยู่ปี2แล้ว
เค้าจะเปลี่ยนระบบไปเป็น GAT PAT อีก ฮ่วยยยย วุ่นวายซะจริงเชียว เลยต้องจำใจเรียนให้จบๆไป
คนอื่นอ่านล่วงหน้ากันเป็นเดือน อินี่อ่านไม่กี่ชั่วโมงก่อนสอบ บางทีก็ไม่อ่านเลย
แถมเข้าเรียนแบบนับครั้งได้ บางวิชาไม่เคยเข้าไปเรียนเลยก็มี จากนั้นกรรมก็เริ่มเดินเข้ามา
แบบบี้ติดตูด คือ เกรดที่จบออกมาถือว่าน้อยมากทีเดียวเชียว ซึ่งมีผลต่อการไปสมัครงาน
อย่างรุนแรงและยิ่งยวด บริษัทเค้าก็อยากรับแต่หัวกะทิ เกียรตินิยม ไอ้เกรดน้อยๆอย่างเรา
ก็ทำอะไรไม่ได้ ก้มหน้ารับชะตากรรมกันต่อไป ตอนเรียนไม่เคยนึกถึงจุดๆนี้เลย
แต่พอต้องเริ่มสมัครงาน หางานทำ ถึงเพิ่งจะคิดได้ว่า เฮ้ย! ทำไมกรูไม่ทำให้ดีก่อนหน้านี้ว่ะ


แต่เมื่อคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว เชื่อว่ามีอีกหลายๆคนที่เป็นแบบเรา และได้แต่นึกเสียใจ
เพราะไม่สามารถกลับไปแก้ไขในอดีตได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นเราถึงเขียนบล๊อกนี้ขึ้นมา
เผื่อจะมีน้องๆที่อาจคิดแบบเรา หรือมีคนที่เคยใช้ชีวิตแบบเรา อาจได้ประโยชน์จาก
บล็อกนี้ขึ้นมาบ้าง โดยบล็อกนี้จะบอกเล่าเรื่องราวในการไปสัมภาษณ์งาน
สอบข้อเขียนและรายละเอียดอื่นๆ เข้ามาอ่านแล้วออกจากบล็อกแบบชิวๆได้ตามสบาย
ไม่ต้องเม้น ไม่ต้องอะไรทั้งนั้น ขอแค่คุณอ่านแล้วได้อะไรไปจากบล็อกนี้บ้างก็มา


ขอบคุณค่ะ ^^